Saturday, October 18, 2008

Germany: Potsdam city of palaces

วันนี้ program เป็นของ Potsdam เขาว่ากันว่าเป็นเมืองเล็กๆ แต่ที่เที่ยวเยอะมาก ประสาทราชวังเยอะ งานนี้ก็เลยต้องไปซะหน่อย ว่าแล้วก็ออกเดินทางโดยตั๋ว one day เช่นเดิม แต่คราวนี้ซื้อแบบ ABC zone เพราะ Potsdam อยู่ไกลถึง zone C โชคดีที่เดินทางจากที่พักทีเดียวเลยด้วยสายสีม่วง S7 fast train จาก Ostbahnhof ถึง Potsdam ขอเกริ่นประวัติของเมืองสักพอสังเขปนะครับ เมืองนี้เป็นเมืองอิสระอยู่ใกล้กับ berlin มีประชากรประมาณ 138,000 คน (เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์ทั้งประเทศ) ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของ Branderburg เมืองนี้ถูกทำลายอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะคืนที่ 14-15 เมษายน ปี 1945 โดนบอมบ์ที่ใจกลางเมือง

พอออกจากสถานี Potsdam เราก็สามารถมองเห็น Nikolaikirche อยู่เบื้องหน้า ซึ่งช่วงนี้กำลังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม เป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดใน Potsdam สไตล์ Baroque ยุคก่อน เข้าไปดูข้างในโบสถ์และได้ทำบุญไปกับการซื้อ Postcard เป็นที่ระลึก เดินไปฝั่งตรงข้าม ก็จะเห็น Marstall เป็นโรงละคร ตัวตึกออกแบบเป็นแนวยาว เลยต้องเก็บภาพแบบ Panorama เคยใช้เป็นโรงม้าของราชวงศ์ สร้างเมื่อปี 1714 ปัจจุบันเป็น film museum



เดินต่อไปเรื่อยๆตามถนน Breite strasse เพื่อไปยัง Park Sanssouci ก่อนจะถึง park เราก็เจอกับประตูชัย แต่จำชื่อไม่ได้ ดันทำแผนที่หายไปไหนไม่รู้ พอถึงโอว.. แม่เจ้า park แห่งนี้ใหญ่มาก มีเนื้อที่ประมาณ 700 เอเคอร์ ใน park แห่งนี้มี 1 ในพระราชวังที่สวยที่สุดของยุโรป คือ Schloss Sansscouri คำว่า Sansscouri แปลว่าไกลจากความกังวล ที่มานั้นได้มาจากดูรายการ Princess Diary ของทูลกระหม่อมฟ้าหญิงอุบลรัตน์ฯ วังนี้สร้างเมื่อปี 1747 ใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์ Frederick ทางขึ้นเป็น terraced ที่ปลูกเป็นไร่องุ่น สวยงามมาก ทางเข้าสวนได้ถ่ายรูปประตูโบสถ์ Friedenskirche พอมาดูกับหนังสือ โอ้โห... ไม่น่าเชื่อว่าเราถ่ายมุมเดียวกันเลย เดินไปอีกไกลจากพระราชวังก็จะพบกับ Orangerie ชื่อเหมือนส้มแบบพหูพจน์ยังงัยไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ส้มแน่นอน เขาคือพระราชวังที่สร้างขึ้นในช่วงกลาง ศตวรรษที่ 19 ใช้เป็นที่รับรองราชวงศ์ต่างชาติหรือแขกคนสำคัญ อาคารเหลืองๆๆ แนวยาวที่เห็นในรูปคือ Neue Kammern เป็นโรงละครเก่า ต่อมาสร้างใหม่เป็น guest house






จากนั้นก็เดิน แล้วก็เดินไปจนถึงสุด park อีกด้านหนึ่ง ก็จะพบกับ Neues Palais สร้างในปี 1763-1769 สไตล์ baroque สร้างเป็นอนุสรณ์แก่ กษัตริย์ Frederickสวยงามมากๆ ตอนนี้แหละเหนื่อยล้ามากมาย ขอนั่งพักแปบ ก่อนที่จะลุกไปหารถเมล์นั่ง ขืนเดินกลับไปมีหวัง ต้องนอนโรงพยาบาลที่นี่แน่ๆ นั่งรถเมล์เข้าไปในตัวเมืองอีกครั้งเพื่อเดินทางไปยังอีกฝั่งหนึ่งทางทิศตะวันตก ก่อนไปก็แวะถ่ายรูปประตูเสาหินที่เชื่อมเมือง คงมีประวัติศาสตร์อยู่แหละ แต่มิอาจทราบได้ จากนั้นก็รอรถเมล์ไปดูพระราชวัง Cecilienhof พอไปถึงก็เจอ 2 สามีภรรยาลงรถพร้อมกัน เขาก็อาสามาอธิบายความเป็นมาของพระราชวังนี้พอสังเขป สรุปคร่าวๆว่า ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลง เหล่าผู้นำของสามประเทศได้แก่ เยอรมัน สหรัฐ และรัสเซีย ได้มาประชุมที่นี่เพื่อยุติสงครามที่ก่อตัวในยุโรปร่วม 45 ปี จากนั้นก็ลัดเลาะไปตาม lake แล้วก็ได้ชม Marmorpalais เป็นวังเล็กๆ อยู่ริมทะเลสาบ ซึ่งช่วงนี้ปิดซ่อม จากรูปจะเห็นผ้าพันเหมือนมัมมี่ แล้วก็เดินออกจากทะเลสาบแห่งนี้ คราวนี้เดินไกลมากเนื่องจากหาป้ายรถเมล์ไม่พบ เดินไปจนเจอ tram เล่นเอาซะเหนื่อยเลย นั่ง tram ไปที่ Park Sansscouri อีกครั้ง เนื่องจากพลาดไม่ได้ไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็น Romische Bader ซึ่งเป็นร่มเงาของเพิงเลื้อย ในบริเวณ Roman bath ตกแต่ง style Italian และอีกสถานที่หนึ่งซึ่งไม่ไกลมากนักคือ Schloss Charlottenhof ตั้งอยู่ทางใต้ของ park สร้างเมื่อปี 1826-1829 เป็นอาคารชั้นเดียว เก็บรวบรวมงานแกะสลักภาพของ Italian เดินไปเดินมา หมดแรงและ ขอไปพักโดยการนั่งรถกลับไป Berlin ดีกว่า






พอกลับไปถึง สิ่งที่พลาดไม่ได้ของ Berlin คือ Schoss Charlottenburg ก็เลยนั่ง S-Bahn ไปลง Westend station ก็ถึงหน้าพระราชวังเลย วันนี้ทั้งวันเป็นทัวร์พระราชวังไปแล้วหรือนี่ พระราชวังนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นวังฤดูร้อนของพระนาง Sophie Charlotte มเหสีของกษัตริย์ Friedrich III ภายในวังตกแต่งอลังการงานสร้างด้วยของมีค่า จากนั้นก็ไปนอนหลับใน Schlosspark เนื่องจากล้าและปวดขามาก พอตื่นก็มีแรงเดินต่อหาป้ายรถเมล์ เพื่อไป Zoologischer Garten ไปถึงก็ปิดบริการซะงั้น สงสัยเย็นมากแล้ว แถวๆนี้มีที่เที่ยวด้วยก็เลย เดนเที่ยวซะหน่อย เดินไปเดินมาก็เจอโบถส์ที่ถูกทำลายชื่อว่า Kaiser-Wilhelm-Gedachtnis-Kirche เป็นอนุสรณ์สถานให้รู้ว่าถูกบอมบ์ในปี 1943 ไม่ได้บูรณะซักที ในรูปจะเห็น Tower Ruins ที่ตอนนี้กลายเป็น symbol ของ Berlin ไปแล้ว แล้วก็เดินลัดเลาะผ่าน Tigergarten ไปยัง Schloss Bellevue ซึ่งมีทหารม้าเฝ้าอยู่หน้าพระราชวัง จากนั้นก็ไปที่ Landmark อีกที่หนึ่งของ Berlin นั่นคือ Siegessäule สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในการชนะสงคราม Prusso-Danish ในปี 1864 จากนั้นก็นั่งรถกลับ ช่วงกำลังเดินทางกลับได้ยินเสียงคนไทยคุยกัน ก็เลยเข้าไปทักทายแสดงตัวหน่อย พี่เขาเลยชวนไปสนามหลวง งงเหมือนผมมั้ยหล่ะ แกบอกว่าเป็นที่ชุมนุมคนไทยวันศุกร์ เสาร์ เอาของมาขายกัน บ้างก็มานั่งเล่นนับเลขกัน นับว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่จริงๆ ผมนั่งสักพักก็ขอตัวกลับไปนอน