Friday, December 26, 2008

Slovenia: Ljubljana (Part I)


-
วันที่สามของการเดินทาง ตื่นสายเหมือนเช่นเคย เนื่องจากอากาศดีมากๆ จัดเตรียมสัมภาระ ออกไปซื้อของที่ shop เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังประทศ Slovenia ซึ่งงาน conference ได้จัดให้มีขึ้นที่นั่น ลากกระเป๋าแกรกๆ เข้า metro ก็แสตมป์ตั๋วปกติ พอออกจาก metro เพื่อไปขึ้นรถไฟ เจอตรวจตั๋ว ผมก็ควักออกมาให้ดูอย่างหน้าชื่นตาบาน พอคนตรวจเห็นเท่านั้นแหละ บอกว่าเธอทำผิดกฎ ผมก็งงก็แสตมป์แล้วหนิ แต่พอมาพลิกดู โอย! เวรกรรม จริงๆคือว่ามันเป็นตั๋วเก่าจากวันแรกที่ผมแสตมป์ผิดด้านไว้ คราวนี้มาแสตมป์อีกทีมันก็เลยเป็น double แสตมป์ ก็ขอเขาว่าเรากลับไปแสตมป์อันที่ไม่ได้ใช้ไม่ได้หรือ เขาก็บอกว่าไม่ได้ เฮ้อ ก็เข้าใจนะ ว่าทำผิดกฎ ก็เลยต้องจ่ายเงินค่าปรับ ตอนแรกเขาบอกว่าจ่ายเป็นยูโรก็ได้ ประมาณ 60 ยูโร ถ้าจ่ายเป็นเงิน HUE จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่คิดว่าถูกกว่าเงินยูโร แน่ๆเลยไม่ยอม จะไปแลกเงินเอามาให้ พอไปแลกก็จ่ายจริงๆแล้วคิดเป็นเงินยูโรแค่ 30 ยูโรเอง ถูกตั้งครึ่งหนึ่ง ดีนะหัวไว ไม่งั้นได้จ่าย 2 เท่าตัว แต่ก็ยังโมโหตัวเองอยู่จนทุกวันนี้ เสียค่าโง่ไปก่อนกลับ ผมลืมเล่าไปตอนหนึ่ง เย็นของเมื่อวานขณะที่เดินเล่นก่อนกลับที่พัก มีคนเดินสวนมาแล้วหวิดน้ำที่พื้นลักษณะคล้ายน้ำโคลนใส่หน้า ด้วยอารามตกใจก็ด่ามันออกไป มันจะตรงรี่เข้ามาเหมือนจะทำร้าย แต่คนละแวกนั้นอยู่เยอะ มันก็เลยไม่กล้า คิดว่าคงเห็นผมเป็นเอเชียมาคนเดียวก็เลยแกล้ง การไปไหนมาไหนคนเดียวก็ต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา Budapest นี่ช่างสร้างความประทับใจ ให้จดจำมิรู้ลืม
-


-
ระหว่างการเดินทางจาก Budapest สู่ Ljubljuna ประเทศ Slovenia ได้พบกับหญิงสาวชาว Slovenian ได้พูดคุยทักทายและได้ขอความช่วยเหลือจากเธอเวลาถึงที่หมาย โดยให้เธอช่วยโทรศัพท์หา Marko เจ้าของ hostel ที่ได้จองไว้ล่วงหน้า ซึ่งเธอก็ยินดีให้ความช่วยเหลือ ช่วงระหว่างการเดินทางมีปัญหาการซ่อมรางรถไฟ จึงมีการเปลี่ยนเส้นทาง โดยต้องนั่งรถบัสเพื่อไปขึ้นรถไฟอีกสถานีหนึ่ง ทำให้เสียอารมณ์พอสมควรเนื่องจากต้องลากกระเป๋าขึ้นๆลงๆ แต่ถ้ามองในแง่บวก ก็คือสามารถมองเห็นบ้านเรือนในแถบชนบทของประเทศฮังการี ซึ่งก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน หลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่ถึงที่หมายสักที การรออะไรบางอย่างนี่ช่างทรมานเสียนี่กระไร จวบจนถึงเวลา 21.30 น. ก็ถึงสถานี Ljubljuna รอประมาณ 10 นาที Marko ก็มาถึง เข้าพัก ทักทายฝรั่งที่มาเที่ยว แล้วก็เข้านอน
-
วันแรกของ Meetings นั้นเป็นช่วงบ่าย ช่วงเช้าจึงมีเวลาท่องเที่ยวในตัวเมืองก่อน ผมก็นั่งรถบัสเข้าไปในเมือง จากโชคไม่ดีที่ Budapest ก็ยังพบความโชคดีที่นี่บ้าง คือว่ารถเมล์ในช่วง 4-5 วันที่ผมอยู่ในประเทศนี้ให้บริการฟรี เป็นนโยบายของรัฐที่กระตุ้นให้ผู้คนใช้บริการรถเมล์มากขึ้น ชีวิตคนเราสิ่งเลวร้ายมักจะสลับกับสิ่งที่ดีเสมอ คงไม่มีใครเจอเรื่องร้ายๆมาทั้งชีวิตอย่างแน่นอน ก่อนอื่นขอเกริ่นความเป็นมาของประเทศนี้ซะก่อน
-
ก่อนคริสตกาล Slovenia เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ต่อมาในศตวรรษที่ 6 บรรพบุรุษของ Slovenes มาจาก Carpathian Basin ได้มาตั้งรกรากที่ริมแม่น้ำ Sava, Drava และ Mura และบริเวณทิศตะวันออก ของเทือกเขา Alps ต่อมาได้รับอิทธิพลจากชาวมองโกลจึงได้อพยพไปยังทิศตะวันตกออกไปอีก โดยปกติแล้วชาว Slavs เป็นชนที่รักสงบ อาศัยตามป่าเขา ทะเลสาบ ริมแม่น้ำ เลี้ยงสัตว์และทำไร่เพื่อการดำรงชีวิต แต่ด้วยแรงบีบคั้นจากชนชาติอื่นทำให้ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นเข้มแข็งและดูดุเดือดขึ้น คริสต์ศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในปี 748 หลังจากนั้นประมาณปี 900 ชาวแม๊กย่า ได้เข้ามาตามด้วยชาวเยอรมัน ในศตวรรษที่ 10 จึงเต็มไปด้วยความเป็นเยอรมัน ปราสาทหลายหลังได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้ มีการพัฒนาเมือง การค้าขายและศูนย์กลางทางสังคมได้ก่อตัวขึ้น ช่วงปลาย ศตวรรษที่ 13 ชนชาว Slovenes ได้อาศัยอยู่เกือบทั้งหมด บางพื้นที่เป็นของ Venice และ Hungary ต่อมาถูกรุกรานโดยชาว Turks แล้วก็ได้รับอิทธิพลจาก Austria และ Hungary ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 จากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปี 1937 ก็ตกอยู่ภายใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยมโดยชาว Yugoslavs ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ถูกครอบครองโดยอิตาลีและเยอรมัน ในปี 1990 ตัวแทนชาว Slovenian ได้ออกจากคณะคอมมิวนิสต์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณสิ้นสุดการปกครอง และได้รับอิสระ โดยมี Ljubljana เป็นเมืองหลวงจนถึงปัจจุบัน
-
ที่แรกที่ได้เยือนหลังจากลงจากรถเมล์ที่บริการฟรี คือ Church of the Holy Trinity เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1718-1728 ภายในมีภาพวาดและงานปั้นอันทรงคุณค่าของศิลปินที่มีชื่อเสียง เดินตรงไปด้านหน้าตามทางที่จอดรถก็จะพบกับ The Slovenian Philharmonic เป็นอาคารเก่าแก่แห่งหนึ่งของยุโรป ตั้งแต่ยุคแห่งความรุ่งเรื่องในประวัติศาสตร์ ในปี 1701 ซึ่งมีการเผยแพร่ดนตรีจวบจนปัจจุบันได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนที่นี่ไปแล้ว บริเวณใกล้ๆกัน ก็เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย ช่างเก่าแก่มากมาย ตัวตึกอย่างโบราณเลย ถัดมาอีกบล็อกหนึ่งก็เป็น National and University Library อาคารเป็นสีส้ม ดูเด่นสวยงาม ตรงกันข้ามกับอาคารก็เป็น Slovene Academy of Science and Arts ใกล้ๆกับโบสถ์ก็เป็น City museum เอาไว้เล่าให้ฟังวันหลัง เพราะวันนี้ยังไม่ได้เข้าไปดู เดินต่อไปอีกหน่อย ก็จะพบแม่น้ำซึ่งกั้นระหว่างเมืองใหม่และเมืองเก่าชื่อว่า Ljubljanica สองฟากฝั่งนี้สวยงามมาก ทั้งตึกรามบ้านช่อง ร้านค้า สภาพแวดล้อมแม้ว่าฟ้าไม่โปร่ง แต่บรรยากาศสบายสุดๆ ไม่หนาวกำลังพอดี เดินเลียบไปเรื่อยๆจนถึงสะพาน Cobbler’s bridge เป็นสะพานที่แก่ที่สุดของ Ljubljana เริ่มแรกเป็นสะพานที่ทำมาจากไม้ใน ศตวรรษที่ 13 ปัจจุบันเป็นเหล็กและคอนกรีต บริเวณกลางสะพานมีโคมเทียนสวยงาม ในปี 1991 สะพานได้ถูกทำลายอย่างหนัก จนต้องมีการบูรณะใหม่ แต่ก็ยังคงสภาพเดิมให้มากที่สุด
-






-
เมื่อข้ามสะพานประวัติศาสตร์นี้ก็เข้าเขตของเมืองเก่า อาคาร ร้านค้ายังคงสภาพเมื่อหลายปีก่อน ทางเดินที่ปูด้วยอิฐบล็อก ดูมีเสน่ห์มากมาย จากนั้นก็เดินย้อนขึ้นไปจนถึง town hall สร้างเมื่อปี ศตวรรษที่ 16 เกือบทุกอย่างยังคงสภาพในสไตล์ Gothic เช่นประตูใหญ่ ทางเข้า ทางเดิน ในปี 1974 บริเวณด้านหน้าที่ถูกทำลายได้มีการบูรณะใหม่ เดินขึ้นไปอีกก็จะพบกับ Cathedral of St Niclolas ผมเข้าไปชมในวันหลัง เนื่องจากวันนี้ไม่มีเวลามากนัก ไม่ไกลนักเห็นตลาดค้าผลไม้สด แต่ละอย่างน่ากินมาก มีทั้งแอปเปิ้ล สตอบอรี่ องุ่น กล้วย พริก ของสดๆทั้งนั้น ราคาก็ไม่แพง ใกล้เวลาเข้าสัมมนามาทุกที ก็เลยเดินไปถ่ายรูปไปเพื่อขึ้นรถเมล์ไปที่จัดงานประชุม ระหว่างทางไปต้องข้ามสะพานสวยงามอีกแห่งหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลย ต้องมีรูปนี้ประกอบหากพูดถึงเมือง Ljubljana นั่นคือ Dragon bridge สร้างเพื่อทดแทนสะพานไม้เก่าในปี คศ. 1819 ด้วยสภาพเศรษฐกิจขณะนั้นจึงสร้างเป็นสะพานคอนกรีต ชื่อเดิมของสะพานนี้คือ Jubilee Bridge ตะเกียงที่จุดบนตัวสะพานยังคงอนุรักษ์ความดังเดิมด้วยการใช้แก๊ส
-
-








-
-
พอขึ้นรถเมล์ ผมก็บอกคนขับรถว่าจะไป Hotel Mons คิดว่าเขาคงไม่ลืม และฟังเราออก รอจนรถสุดป้ายก็ไม่บอกเรา ผมคิดว่าเลยแล้วแน่ๆ เพราะเจ้าของ Hostel บอกว่าอย่าเลย express way ไม่งั้นเดินไกล แล้วก็อย่างว่าเลย ต้องเดินอ้อมลงไปไกลมาก ราวเกือบ 2 กิโลเมตรได้ พอไปถึงหอบเกือบรับประทาน เมื่อยล้าไปทั้งตัว สัมมาช่วงนี้ น่าฟังมากทีเดียว แต่ก็อยากกลับไปพักผ่อนเพราะเดินไกลมาก และอีกอย่างหนึ่งคืออยากรู้วิธีกลับ Hostel ด้วย คราวหน้าจะได้มาถูก พอจะกลับที่ reception ท้วงว่าไม่อยู่รอทานอาหารแบบเลี้ยง welcome หน่อยหรือ เราก็ลังเลสิ อยากกินก็อยากอยู่ พอเห็นอาหารเท่านั้นแหละ อยู่หน่อยก็ดี กลับไปก็ต้องหาซื้อกิน เรื่องรัยจะเสียเงิน... 555 ก็นั่งรอ เข้าไปข้างในพิธีการเยอะมาก กว่าจะเสร็จ ออกมาก็เลยกินและกิน ทีนี้กลับยังงัยหล่ะ มืดแล้ว ถามใครก็ไม่มีใครตอบได้ แม้กระทั่งพนักงานโรงแรม ผมก็อุตส่าห์หาที่พักใกล้ hotel ที่สุดแล้ว แต่กลับลำบากที่สุด เขาบอกว่ามีรถมารับเข้าเมืองก็เลยรอ เข้าในเมือง แล้วนั่งรถเมล์ออกมาอีกที หรือให้เขาหยุดจอดเราลงระหว่างทางก็ยังได้ รถไม่มาซักที ก็เลยตัดสินใจเดินกลับก็ได้ พอออกไป ข้างนอกโรงแรมไม่มีไฟเลยสักดวง มืดสนิท ผมก็พยายามเดินแต่ก็เสี่ยงมาก เพราะไม่มีไหล่ทางเดิน ต้องเดินในป่า เดินไปได้ประมาณ 400 เมตร ไม่ไหวแล้วกลัวมากเลย ผมเลยจำใจเดินย้อนกลับมาเพื่อรอรถที่โรงแรมอีกครั้ง ทำไมมาจัดที่นี่ก็ไม่รู้ คนอื่นๆก็บ่นกันเรื่องรถเข้าเมือง รอกันจนถึง 3 ทุ่ม รถก็ไม่มา ทุกคนเลยไม่รอ โทรเรียก taxi มารับกัน เอางัย หล่ะเรา ทางกลับก็ไม่ใช่ทางเดียวกับคนอื่น หารกับเขาก็ไม่ได้ ก็เลยโทรเรียกเจ้าของ Hostel ให้เขามารับ ผมจะจ่ายให้เขา เพราะขืนรอ taxi คงอีกนาน คิวยาวเหยียด เขาก็เลยเรียก taxi ให้ผมโดยเฉพาะเนื่องจากเขาไม่ว่างมารับ งานนี้เลยเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายอีกตามเคย ค่ารถประมาณ 16 ยูโร ดีนะที่ hostel ไม่ไกลมาก แล้ว Marko ก็เรียกเขามาบริการผมในอัตราพิเศษด้วย ถึงที่พักนอนหลับเป็นตายเลย เฮ้อ.... ชีวิต
-