Sunday, December 7, 2008

Hungary: Hungry


คงจะแปลกใจสินะ ว่าทำไมถึงตั้งชื่อเรื่องอย่างนี้ ก็ไม่มีรัยมากหรอก แค่อยากให้พ้องเสียงกันก็เท่านั้น อันที่จริงแล้วอยากตั้งชื่อเรื่อง Hungary-Angry มากกว่า อันเนื่องมาจาก การเดินทางท่องเที่ยวในวันแรกนั้นสาหัสสากรรจ์เอาการเลยทีเดียว ฝนตกหนักไม่หยุดเลยตั้งแต่เช้าจนถึงมืด ซึ่งที่จริงแล้วผมก็ทราบจากพยากรณ์อากาศแล้วแต่ก็ไม่ได้เตรียมร่มมา ก็เลยกลายเป็นลูกหมูเปียกปอนเดินไปถ่ายรูปไป ไม่ได้ใช้กล้องใหม่เลย เสียดายกลัวพัง ใช้แต่กล้องดิจิติล compact cannon ตัวเก่ามาใช้ ถึงอย่างไรก็ตาม อากาศที่ขมุกขมัวอย่างนี้ ต่อให้กล้องดีเลิศประเสริฐศรีแค่ไหน ก็ไม่สามารถถ่ายรูปสวยๆได้ ภาพที่ได้จึงเน่าอย่างที่เห็น
-
ดินแดนแห่งนี้ เป็นอาณาจักรโรมันเมื่อก่อนคริสตกาล ต่อมาชาว Magyas ได้อพยพจากแถบ Urals มาตั้งรกรากที่ Budapest แห่งนี้ในปี คศ. 896 ต่อมา Vajk ได้นำเอาคริสต์ศาสนาเข้ามาเผยแพร่ให้คนฮังกาเรียน และได้สถาปนาเป็น กษัตริย์ St István เมื่อช่วง คศ. 1000 ที่ผ่านมา ต่อมากษัตริย์ Béla ที่ 4 ได้ย้ายเมืองหลวงเข้าสู่ Buda หลังเกิดการรุกรานจากชาวมองโกลในปี คศ. 1247 Buda เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในยุคของ กษัตริย์ Mátyás ในช่วง ศตวรรษที่ 15 แต่ก็ถูกชาว Turks เข้าครอบงำตลอดระยะเวลายาวนานถึง 150 ปี หลังจากนั้นก็มีการขยายเมืองเข้าสู่อีกฟากฝั่งของแม่น้ำดานูปนั่นคือเมือง Pest และในปี คศ. 1873 ได้รวม เมือง Buda และ เมือง Pest เป็น Budapest จวบจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ซึ่งในครั้งที่สองนี้ Hungary อยู่ภายใต้คอมมิวนิสต์ โดยรัสเซีย จวบจนในปี คศ. 1990 ได้มีการปกครองระบบประชาธิปไตย
-
ร่ายมาซะยืดยาว ขอเท้าความไปตั้งแต่วันแรกแล้วกัน ผมเริ่มออกเดินทางจาก Reykjavik มายัง Berlin แล้วก็ต่อเครื่อง Easyjet เข้าสู่กรุง Budapest ประเทศฮังการี ซึ่งก็ถือว่าเป็นเมืองในฝันอีกเมืองหนึ่ง พอลงเครื่องก็ลากกระเป๋าออกมารอรถเมล์สาย 200 เพื่อไปยัง metro สาย 3 ไปในเมือง ก่อนรถจะมาถึงก็ถามคนที่ยืนรออยู่ได้ความว่าจะต้องไปซื้อตั๋วจากข้างในมาก่อน ไม่มีการจ่ายบนรถเมล์ ก็เลยต้องกลับไปซื้อ แต่ดันไม่รับเงินยูโร เป็นอันว่าถึงบางอ้อว่าที่นี่เขาใช้เงินสกุลของเขา คือ Forints หรือ HUE ดูสิ การไม่ได้ทำการบ้านมาก่อนออกเดินทางย่อมเสียเวลาอย่างนี้ คนที่นี่ไม่สนใจและไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวเลย ไม่ยินดียินร้าย ผมสื่อสารกับเขา เขาไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ก็ไล่ออกไปเลย หลังจากซื้อตั๋วได้แล้ว ผมนั่งไปจนสุดป้าย ต่อ metro สาย 3 ตอนรอซื้อก็มีคน Hungarian แนะนำให้ซื้อเป็น 3-day tickets (3400 HUE) จะถูกกว่า single ticket (270 HUE) ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ถูกมากนะ พอมาถึงสถานี Kalvin Tér ก็ลงแต่ดันออกช่องผิด ก็เลยเดินไปไกลพอควร กลับมาถูกทางก็ดันหา hostel ไม่เจออีก เดินลากกระเป๋าไปมา ถามคนแถวนั้นก็ไม่รู้ ไม่พูดภาษาอังกฤษกัน เดินอยู่หลายรอบ พอหยุดพักเหนื่อยเท่านั้นแหละ สายตาดันเหลือบไปเห็น โหยชื่อ hostel เป็นป้ายเล็กๆเหมือนชื่อคนใน Apartment ช่างลึกลับซับซ้อนเสียนี่กระไร
-
พอถึงที่พักก็เก็บกระเป๋า จ่ายเงิน อาบน้ำ ก็มืดแล้วหล่ะ ไหนๆจ่ายค่าตั๋วแล้วออกไปถ่ายรูปยามค่ำคืนหน่อยสิ ดีกว่านอนเล่นๆ นั่ง metro หรือ subway เขาว่ากันว่าเป็นรถไฟใต้ดินแห่งแรกของยุโรป แล้วก็ชันที่สุดของยุโรป เห็นด้วยเลยแหละครับเพราะ เก่ามาก แล้วก็ขึ้นลงใช้เวลามากเนื่องจากอยู่ลึกมากๆ ออกจาก metro ก็เห็น Parliament เลย ช่างใหญ่และสวยงาม ตั้งอยู่บน Kossuth square ซึ่งบริเวณนี้ประกอบไปด้วย Parliament, Agriculture museum , Ethnographical museum ในส่วนของ Parliament ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ที่สุดของเมือง Budapest มีทั้งหมด 691 ห้อง ฝั่งตรงข้ามเป็น Ethnography museum ตัวอาคารออกแบบในสไตล์ผสมผสานระหว่าง baroque และ classic ใช้เป็น museum ตั้งแต่ปี 1957 วันนี้เลยลองกล้องตัวใหม่ครั้งแรกเลยนะเนี่ย ปรากฏว่าถ่ายยังงัยก็ไม่สวย ออกเบลอๆ ไม่รู้เหมือนกันเพราะอะไร มาทราบเอาทีหลังก็วันสุดท้ายใน Budapest แล้ว น่าจะลองมาก่อน ด้วยความขี้เกียจที่มีเกินพิกัดในตัวเอง ไม่เคยคิดจะทดลองก่อนใช้ ชอบอ้างว่าไม่มีเวลา เลยใช้กล้อง compact แทน
-

-
ฝั่งตรงข้ามของ Parliament เป็นเมืองเก่า มีพระราชวัง Buda เปิดไฟยามค่ำคืนทำให้สองฟากฝั่งของแม่น้ำ Danube มีเสน่ห์มาก แค่ได้ยืนชื่นชมก็มีความสุข ปากก็ร้องเพลงไทยไปพลางๆ ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร ตรงสะพาน chain bridge ก็ประดับประดาไฟระยิบระยับสวยงามไม่แพ้ตัวปราสาทเลย นั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เดินทางกลับเนื่องจากกลัวจะดึกเกินไป ถึงเวลาก็เข้านอน เพราะง่วงเต็มประดา
-
ตื่นมาประมาณ 8 โมงเช้า มองไปนอกหน้าต่าง โอ๊ะโอ ดังที่พยากรณ์อากาศ ฝนตกหนักเลย ท่าทางจะทั้งวันเลยทีเดียว จึงนอนต่อ ตื่นอีกทีประมาณ 10 โมงเช้า อาบน้ำ ทานอาหารเช้า แล้วก็เตรียมออกเดินทาง ฝนตกหนักยังงัยก็ต้องไป เสียเงินมาเที่ยวแล้วหนิ และไม่แน่ใจว่าจะได้มีโอกาสมาอีกครั้งหรือไม่ นึกเจ็บใจตัวเองรู้ทั้งรู้ก็ไม่ได้เตรียมร่มมา ก่อนอื่นแวะหารองเท้าซะก่อน ขืนเอารองเท้าที่มีรูบ๋อยนี่ไป ได้อมน้ำจนเท้าเปื่อยแน่เลย ได้คู่ใหม่ในราคา 2000 HUE ตีเป็นเงินยูโร ราคาไม่ถึง 10 ยูโร ก็ถือว่าไม่แพงนะ เริ่มต้นการเดินทางจากทางตอนเหนือของตัวปราสาทโดยลงที่ Batthyány Tér บริเวณนี้มี St Anne’s Church เป็นโบสถ์สไตล์ บารอคช่วงปลาย ภายในโบสถ์สวยงามมาก ที่ประตูใหญ่ทางเข้าได้มีรูปปั้นตกแต่งเป็นเชิงเปรียบเทียบความศรัทธา ความหวัง และความกรุณา (Faith, Hope and Charity) สงสัยตัวผมไม่มีสมองด้านศิลปะเอาซะเลย จึงไม่เข้าใจ พยายามมองเพื่อโยงใยแม้ฝนกระหน่ำโปรยปรายแค่ไหน แต่ก็มิอาจคลี่คลายในสิ่งที่สถาปนิกพยายามจะอธิบายด้วยงานศิลปะนี้ได้ อนุสาวรีย์ของ Ference Kölcsey ปี 1790-1838 ท่านเป็นคนสำคัญทางการเมืองและด้านการประพันธ์ ถัดออกไปทางด้านหลังเป็นโบสถ์ที่มีลักษณะสวยงามชื่อว่า St. Elizabeth’s Church สไตล์ baroque สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ต่อมาได้ใช้เป็นคอนแวนต์ และมีการสร้างโรงพยาบาลติดกับโบสถ์ในช่วงหลัง ศตวรรษที่ 19 จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึง Calvinst church ลักษณะหลังคาโบสถ์เป็น ceramic หลากสี โบสถ์หลังนี้เด่นเป็นสง่าหน้าเมือง Buda ถัดไปก็เป็นโบสถ์ Capuchin Church สร้างใน ศตวรรษที่ 14 ในช่วงที่ถูกปกครองโดยชาว Turks ได้ใช้โบสถ์นี้เป็นสุเหร่า
-


-
จากจุดนี้เดินไปเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทางก็มีใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีบ้างแล้ว จนพบกับ Royal palace โดยกษัตริย์ Béla ที่ 4 สร้างขึ้นเพื่อเป็นวังของท่าน แต่ก็ถูกทำลายในปี 1945 แล้วก็มีการบูรณะใหม่ให้คงเหมือนของเดิมในสมัย ศตวรรษที่ 15 ประตูทางเข้าวังมีพญานกเป็นยามเฝ้าวัง เมื่อเดินเข้าข้างในก็จะเห็น Mátyás Fountain ตั่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวประสาท สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่กษัตริย์ Mátyás
-
บริเวณทางเข้าชั้นในของวัง มี Lion gate เป็นประตูทางเข้า ภายในบริเวณนี้มี Hungarian National gallery และ Museum ในตัว museum นี้ได้เข้าไปชม ราคาค่าบัตร 550 HUE สำหรับนักเรียน แบ่งออกเป็น 2 ชั้น เป็น museum ที่บรรยายเกี่ยวกับความเป็นมาของเมือง Buda และ เมือง Pest ละเป็นที่เก็บรวบรวมรูปปั้นตามยุคสมัยต่างๆ สำหรับตัวปราสาทนั้นเป็น dome ที่ด้านหน้ามีอนุสรณ์สถานของเจ้าชาย Eugene of Savoy สร้างเพื่อฉลองชัยชนะในสงครามตุรกี โดยด้านล่างของฐานเป็นรูปปั้นเชลยตุรกี 2 คน ตัว dome สร้างขึ้นใหม่ในสไตล์ Neo-classical หลังถูกทำลายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
-
นั่งรถสาย 16 ไป metro Moszkva tér แล้วนั่งต่อไปลงที่ Vörösmarty Utca เพื่อท่องเที่ยวอีก zone หนึ่งของเมืองได้แก่ Around Városliget หรือเรียกว่า city park ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณาเขตของ marshland เป็นที่ล่าสัตว์ของเหล่าราชวงศ์ จนถึงในปัจจุบัน ศตวรรษที่ 19 ได้ปรับปรุงให้เป็น park จุดแรกคือ House of Terror Museum เป็น museum ที่เก็บรวบรวมเรื่องรามเหตุการณ์ที่เลวร้ายของ ฮังการีที่เกี่ยวเนื่องกับการสุดสิ้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณละแวกเดียวกันเป็นที่ตั้งของ University of Fine Arts และ Zoltán Kodály Museum เป็น museum ที่ใหญ่ที่สุดของฮังการี เก็บรวบรวมงาน Folk music
-




-
ในส่วนของ Heroes’ Square นั้นมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายเนื่องจากเป็นโบราณสถานของชาวฮังกาเรียนในประวัติศาสตร์ อย่างแรกเลยคือ Millennium monument อนุสรณ์สถานแก่ Rydwan พระเจ้าแห่งสงคราม The Hungarian millennium celebrations เป็นการฉลองการเจริญเติบโตสูงสุดของฮังการี ในปี คศ. 1896 จากเมืองที่ไม่รู้จักของยุโรปกลับมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการสร้างอาคารบ้านเรือน พระราชวัง การใช้ gas เกิดแสงสว่างและการมีระบบรถไฟใต้ดินแห่งแรกของยุโรป บริเวณนี้มี Museum of Fine Arts มีงานเขียนมากมายแบ่งเป็นหลายประเทศในยุโรป เดินข้ามสะพานไปก็จะพบกับ Vajdahunyard Castle สไตล์บารอคและใช้เป็น Museum of Agriculture ตัวปราสาทเหมือนเทพนิยายตั้งอยู่มุมทะเลสาบ Városliget บริเวณตัวปราสาทมี Ják Chapel และ Statue of Anonymous ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Budapest เดินต่อไปอีกฟากหนึ่งของสวน จะพบกับ Széchenyi Baths เป็น Spa ที่ใหญ่ที่สุด ตัวอาคารสร้างสไตล์ Neo-baroque มี hot springs จากพื้นดินลงไปลึก 970 เมตร ค้นพบในปี 1876 อุณหภูมิของน้ำแร่ใน Spa แห่งนี้สูงถึง 74-75 เซลเซียส ไม่ไกลกันนักก็มีสวนสัตว์ สร้างในปี คศ. 1866 แต่ไม่ได้เข้าไปชม เขาว่ากันว่าใหญ่มาก และสร้างได้ยอดเยี่ยมมาก ใหญ่ขนาดที่นกสามารถบินได้อย่างอิสระเลยทีเดียว
-





-
จากนั้นก็เดินไปย่าน Roosevelt Square ซึ่งเป็นบริเวณฝั่งด้านตะวันออกของแม่น้ำดานูป ฟากสะพาน Chain bridge เป็นที่ตั้งของสถานที่อันสวยงามของเมือง Pest ฝั่งซ้ายมือเมื่อหันหลังให้สะพานจะเป็นที่ตั้งของ Hungarian Academy of Sciences อาคารตกแต่งสวยงามน่าศึกษาหาความรู้มาก ตรงกันข้ามกับสะพานคือพระราชวัง Gresham เป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าของ Budapest มาก ปัจจุบันเปิดเป็น Four Seasons Hotel แห่งแรกของฮังการีและเป็นแห่งที่สองของยุโรปกลาง เดินเข้าไปจนสุดทางก็จะเห็น St Stephen’s Basilica สวยงามเด่นเป็นสง่า ข้างในตกแต่งอย่างสวยงามด้วยศิลปินมากมายของฮังการี แต่ก็ถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนได้รับการบูรณะใหม่ในปี 1980 บริเวณไม่ไกลกันนักเป็นที่ตั้งของ Budapest Operetta Theatre ตลอด 100 ปีที่ผ่านมา Budapest เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านดนตรี จึงมีโรงละครที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก วันนี้ทั้งวันเดินตากฝนตลอด ฟ้าไม่โปร่งเลย จวบจนแม้กระทั่งดึกดื่นเวลากลับบ้าน เดินทอดน่องไปตามสะพาน ชมความงามของสองฟากฝั่งแม่น้ำพร้อมสายฝนอันโปรยปราย บรรยากาศเช่นนี้หวนให้คิดถึงใครบางคน เขาจะรับรู้ไหมน้อ....อิอิ
-