Sunday, February 3, 2008

Iceland : ดินแดนน้ำแข็ง

Iceland: ดินแดนน้ำแข็ง
"Why did you come to Iceland?" เป็นคำถามที่เกือบทุกคนที่ได้รู้จักกับผมถามผม โดยที่ผมก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้กับเขาเลยสักครั้ง เหตุผลเดียวที่เป็นจิงเป็นจังคือ แค่มาตามฝันของตัวเองในการใช้ชีวิตเมืองนอกสักครั้ง ที่ไหนก็ได้ แต่จะมาด้วยเหตุผลใดเล่า ถ้าไม่มาเพราะการเรียน ดังนั้นทุนจึงเป็นปัจจัยเสริมแห่งการแสวงหาหนทาง ในเมื่อมีทุนที่นี่ให้ แล้วเขาก็รับผม ผมก็ยินดีมาอยู่แล้ว แม้ในขณะนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่แถวไหนของยุโรป
วันแห่งการเดินทางก็มาถึงหลังจากตระเวณร่ำลาเพื่อนเก่า ญาติพี่น้อง 3 มีนาคม 2007 แม่และพี่สาว หลานๆๆ มาส่งกันที่สุวรรณภูมิ แรกๆก็ไม่มีรัยนะ คุยสนุกสนานกับแม่อยู่ พอจะเข้าไป passport control เท่านั้นแหละ พร่างพรูมาจากไหนไม่รู้ ผมร้องจนถึงขึ้นเครื่องเลย มีคนมองตลอด คงสงสัยว่าแก่ป่านนี้โดนเด็กที่ไหนหรอกมั้ง อิอิ




Copenhagen airport- กวาดสายตามองไปรอบๆๆ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ท่ามกลางความเงียบเหงาภายใน ลากกระเป๋าหวังเพื่อหลบมุมงีบสักพักก่อนขึ้นเครื่องเดินทางต่อ แต่เปลือกตามิอาจทำงานได้ ใจมันไม่รู้กังวลถึงบางสิ่งบางอย่างเบื้องหน้า ออกเดินสูดอากาศข้างนอกสักพักคงดี อากาศบริสุทธิ์ สะอาดแต่ไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นที่มาเยือนได้ เพียงไม่ถึง 5 นาทีก็ต้องย้อนกลับมาอยู่ในซอกมุมอาคารดังเดิม



3 ชั่วโมงหลังจากเครื่องทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็ถึงจุดหมายปลายทาง ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี กับสายฝนอันโปรยปราย เหมือนมาแสดงความยินดีกับผม "เธอมาถึงแล้วนะ ฉันดีใจที่เธอมาอยู่ที่นี่" ผมรู้สึกได้กับทุกๆๆหยดสัมผัส มองไปนอกหน้าต่าง ช่างอ้างอ้าง โดดเดี่ยว เงียบงัน ในนานนักก็ถึงตัวเมืองหลวง Reykjavik

พี่อ้อย เจ้าของบ้านพัก เดินทางมารับผม เมื่อเข้าถึงที่พัก เก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็พาไปซื้อของกินของใช้ ตกกลางคืนก็ไปบ้านพี่อ๊อด เพื่อไปเยี่ยมอาการป่วย พี่อ๊อดเพิ่งได้รับการผ่าตัดจึงนอนพักผ่อนที่บ้าน อาหารมื้อแรกที่ได้ทานคือ แกงคั่วสับปะรดฝีมือพี่สาวชาววังเจ้าของบ้านนั่นเอง

การต้อนรับยังไม่มีที่สิ้นสุด การปรากฎตัวของเจ้าปุยน้อยเล็กๆๆ ณ ยามเช้าของวันรุ่งขึ้น สร้างความประหลาดใจและตื่นเต้นให้กับผมอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกสินะ ที่ได้เห็นหิมะด้วยตาเปล่า คิดอย่างเดียวไม่พอ ต้องขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซักหน่อย ว่าแล้วก็คว้าเจ้ากล้องประจำตัว กดชัตเตอร์พลาง อมยิ้มไปพลาง ในความเงียบเหงาว้าเหว่ก็คงมีเม็ดปุยนุ่นนี่แหละที่เป็นเพื่อนแก้เหงาในยามนี้




วันต่อมาก็ได้เข้าไปพบ supervisor อาจารย์ดูใจดีมาก เพื่อนใน Lab ก็ Ok ถึงเวลาแล้วสินะที่จะต้องอึดและอดทนอีกครั้ง ยอมรับเลยว่ายังไม่หายเข็ดขยาดจากการเรียน ป.โทที่ไทยเลย เอาเหอะเป็นงัยเป็นกัน เรียนๆๆเที่ยวๆๆ อย่าคิดมากสิ อิอิ ว่าแล้วเย็นวันนั้นก็เลยไปเดินเล่นซะเลย ในเมืองยามเย็นที่สระเป็ดนี่ก็สวยไม่เบาเลยนะ ปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศอันแสนโรแมนติกที่มีเพียงเราลำพัง...ไร้เงาคนข้างกาย


2 comments:

ลูกชิด said...

Velkomin เขียนถูกป่ะเนี่ย...ดัดจริตเป็นเจ้าบ้านซะหน่อย 5555+
ดีใจนะที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมเพิ่มมาอีก 1 แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็เหอะ ว่าแต่กี่ปีล่ะน้องที่ต้องโดนปล่อยเกาะเล็กๆ แห่งนี้...
เอาเหอะ..ถ้ายอมพี่เป็นเพื่อนคลายเหงาได้นะจ๊ะ..

AKILAS flower&gift said...

เยี่ยมเลย เที่ยวให้สนุกนะ จะรอดูรูป
www.akilass.blogspot.com
www.pasaharley.blogspot.com