Friday, December 25, 2009

Viðay


หลังจากห่างหายไปพักใหญ่ๆ ด้วยความขี้เกียจและไม่มีอารมณ์จะเขียนเรื่องราวในชีวิต ไม่รู้ใจตัวเองเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหน วันนี้รู้สึกเซ็งจับใจอีกครั้ง ก็เลยมานั่งปัดฝุ่น ขุดคุ้ยภาพและเรื่องราวการเดินทางชมธรรมชาติในดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ ที่กล่าวอ้างเช่นนั้นก็เพราะที่นี่ธรรมชาติที่สวยและเรื่องราวในอดีตที่น่าศึกษา ผมเคยนั่งรถเมล์แล้วก็มองออกไปยังฝั่งทะเล เห็นเกาะเล็กๆเกาะหนึ่ง มีบ้านโดดเด่นหลังหนึ่ง นึกสงสัยว่ามีคนอยู่ด้วยหรือ แม้มันจะไม่ไกลมากจากฝั่ง แต่ถ้าต้องนั่งเรือไปกลับเพื่อซื้อของหรือทำงานในเมือง จะมีความสุขกับการเดินทางหรือไม่ จวบจนทุกวันนี้ ผมก็ยังคงไม่รู้ว่ามีคนบนเกาะนั้นหรือไม่ แต่ที่แน่ๆมีร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์หลงเหลืออยู่ บ้านหลังที่ว่านั้นก็เป็นร้านอาหารและสถานที่จัดงานเลี้ยง และแล้ววันแห่งการเดินทางก็มาถึง แต่ไม่ได้มาจากความตั้งใจของตัวเอง เพื่อนๆในแลปอยากไปก็เลยนัดกัน ทำรัยไปกินมื้อกลางวันที่นั่น ซึ่งผมก็ตอบตกลงเพื่อจะได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกับเพื่อนในแลป ในการเดินทางครั้งนี้ก็มีเพื่อนชาวรัสเซีย 2 คนเป็นสามีภรรยากัน และคนสเปน 1 คน ผมนัดกับเพื่อนคนสเปนนั่งรถเมล์ไปยังท่าเรือ ส่วน 2 คนนั่นขี่จักรยานกันไป หาท่าเรือด้วยความลำบากนิดหนึ่ง แล้วเราทั้งสี่คนก็นั่งเรือข้ามฟากไป ไม่ถึง 10 นาที แต่ค่าเรือปาไป 1000 ครอน จะบ้าตายกับประเทศนี้ วันนี้ฟ้าเป็นใจ อากาศดี แต่แอบหนาวนิดๆ เราเดินดูความเป็นมาของเกาะนี้ ได้ความว่า ผู้มาตั้งรกรากที่เกาะแห่งนี้คนแรกคือ Ingólfur Arnarson ,มีหลักฐานว่าผู้คนอาศัยอยู่ใน ศตวรรษที่ 10 โบสถ์ที่เห็นก็ราวๆศตวรรษที่ 12 บ้านหินหลังแรกของ Iceland ก็อยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นบ้านของ Skúli Magnússon หลังการเปลี่ยนแปลงมากมาย เกาะนี้ก็อยู่ภายใต้การดูแลของเมือง Reykjavik



พอถึงอาหารกลางวัน ผมเตรียมยำวุ้นเส้นไป แบบเผ็ดสะใจมาก ทานกับ breezer นานารส ที่ได้ฝากเพื่อนซื้อไว้แล้ว ส่วนคนอื่นๆก็แซนวิส อาหารฝรั่งตามเรื่องตามราวของเขา กินไปคุยกันไป สักพักก็เริ่มปวดท้องหนัก ดีนะที่นี่มีห้องน้ำ ไม่งั้นแย่แน่เรา พอจัดการธุระเรียบร้อย เราก็เดินย่อยอาหารกัน จวบจนพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เราก็เดินทางกลับ