Friday, November 7, 2008

Germany: Würzburg

หลังจากกลับจาก Pirna ก็มาพักขาอันอ่อนล้า และอาบน้ำที่ hostel เพื่อเตรียมตัวนั่งรถไฟแบบ overnight train ไปยัง Frankfurt คราวนี้ไม่เจอปัญหาเหมือนตอนไป Barcelona นั่งๆนอนๆหลับมั่งไม่หลับมั่ง และแล้วก็ถึง Frankfurt สถานีรถไฟที่นี่ใหญ่มาก พอออกจากสถานีก็ลากกระเป๋าออกมา ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึง Hostel ที่จองไว้ จองไว้ใกล้ๆสถานีเพราะสะดวกในการเดินทาง ขึ้นไปฝากกระเป๋า มีเวลาทาน breakfast พร้อมๆกับ charge battery กล้องไปด้วย ที่บอกว่าต้องฝากกระเป๋าไว้นั้น เนื่องจาก ได้จองตั๋วเพื่อเดินทางไป Würzburg เมืองที่คุณใยแก้ว เพื่อนทาง Pantip แนะนำว่าควรไป เพราะ Frankfurt เที่ยววันเดียวก็พอ ในขณะที่ฝรั่งคนอื่นๆ บอกว่า Frankfurt ควรใช้เวลาถึง 3 วัน แต่เราก็เห็นตรงกับคนไทยโดยส่วนใหญ่ เนื่องจากมีแต่ตึกสูงๆ ไม่ได้มีสิ่งก่อสร้างโบราณที่เราอยากดูมากเท่าไหร่ พอถึงเวลาอันเหมาะสมก็เดินทางไปยัง Würzburg ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็ถึงเมืองที่น่าสนใจเมืองหนึ่งของเยอรมัน เหมือนเป็นธรรมเนียมเช่นเดิม ก่อนเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ของเมืองก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้พรากมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เหมือนเช่นเมืองอื่นๆที่ผ่านมา ในคืนวันที่ 16 มีนาคม 1945 เพียงแค่ 20 นาที เมืองทั้งเมืองก็สลายหายไป 80% ภาพของเมืองริมแม่น้ำ Main ได้หายไปต่อหน้าต่อตา เฉกเช่นเมือง Dresden ที่ได้กล่าวไปแล้ว อย่างไรก็ตามเมืองนี้ได้ฟื้นคืนจากผงธุลี มายืนโดดเด่นเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งปะวัติศาสตร์ อีกครั้งเมื่อได้รับการบูรณะ

จุดแรกที่ลงจากรถบัสคือ Mainfranken theater Würzburg เนื่องจากอยู่ใจกลางเมือง สามารถเดินไปชมสถานที่อื่นๆได้โดยรอบ จากนั้น ก็เดินลัดเลาะไปยัง Residenz in Würzburg พระราชวังที่งดงามที่ UNESCO ประกาศเป็นมรดกโลก ผมได้เดินไปสำรวจด้านข้างและด้านหลังของตัวประสาทก่อนจะเข้าไป ซึ่งประกอบไปด้วย Hofkirche และ Hofgarden สวนนี้สวยงามมาก มีรูปปั้นตกแต่งสวนมากมาย พอเข้าไปข้างใน ก็เห็นความอลังการณ์ของพระราชวัง สร้างเมื่อปี 1720-1744 สมัย prince-bishops 2 พระองค์คือ Johann Philipp Franz และ Friedrich Karl von Schönborn โดยสถาปนิกหลายท่านมาก บริเวณด้านหน้า Frankonia-Brunnen คือน้ำพุที่สวยงามใน parade square สร้างจากเงินสมทบทุนของคนเมืองนี้ เข้าไปข้างในพบกับ Treppenhaus เป็นบันไดภายในห้องโถงที่มีภาพวาดแบบ Fresco ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ข้างในแต่ละห้องวิจิตรงดงามมากๆ Kaisersaal เป็นห้องโถงใจกลางพระราชวัง ถัดมา Garden Hall มีภาพวาดปูนขาวผสมทรายและหินอ่อนแบบ rococo แนวยาวสวยมากๆแต่เขาห้ามถ่ายรูปเลยไม่ได้เก็บรูปประทับใจ ได้แต่ซื้อ Postcard ห้องถัดมาคือ Venetian room มีของประดับสวยงาม หน้าต่างฉลุประดับประดาด้วยของมีค่า อีกห้องหนึ่งสวยมากเป็นห้องกระจก ห้องนี้ต้องระมัดระวังพิเศษ เนื่องจากถูกทำลายไปเพิ่งจะบูรณะ ไกด์เม้าท์ว่าห้องนี้ไว้เล่นไพ่เวลามีแขกบ้านแขกเมือง แล้วก็มีเก้าอี้ประจำของกษัตริย์ ซึ่งมักจะชนะเสมอเนื่องจากมองเห็นไพ่ของแขกที่ถืออยู่ ทุกคนหัวเราะกันใหญ่เลย สงสัยเหมือนกันว่ากลโกงนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณเชียวหรือนี่




จากนั้นก็เดินไปชมความงามของ Dom St Kilian เป็นโบสถ์ โรมันที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศเยอรมัน สร้างเมื่อปี 1045-1088 ลักษณะโบสถ์แบ่งเป็น 3 ส่วนมีแนวตามขวางจนถึงแท่นบูชาและหอสูงด้านหน้าขนาบเป็นคู่ บริเวณใกล้ๆกันก็เป็นโบสถ์ Neumünster dome สไตล์ baroque สีออกเป็นหินทรายแดง เดินออกไปอีกด้านหนึ่งของ market square ก็จะพบกับ Falkenhaus ปัจจุบันเป็นที่ทำการของ tourist information และเป็นที่จำหน่ายตั๋ว บริเวณติดกัน เป็นโบสถ์ Marienkapelle สร้างเมื่อปี 1377 แล้วเสร็จเมื่อ 1480 ได้รับการตกแต่งใหม่หลังสงครามโลก ก่อนข้ามสะพาน Alte Mainbrücke จะเห็น town hall อยู่บริเวณริมน้ำ สร้างเมื่อศตวรรษที่ 13 ด้านหน้าของตัวอาคารมีภาพวาดที่สวยงาม สะพานที่ว่านี้ก็สวยงามเป็นสะพานโรมันยุคโบราณ เดินไปเดินมาหลายรอบ เพราะเป็นคนชอบสะพาน สายน้ำ และโบสถ์ ซึ่งจุดนี้สามารถมองเห็นทั้ง 3 สิ่งได้พร้อมๆกันเลยทีเดียว




จากนั้นก็เดินตามแผนที่เข้าสู่ Fortress Marienberg ผ่าน wine trial ตรงนี้สามารถมองเห็นวิวของเมืองได้ พอขึ้นไปตัวอาคารป้อมปราการ ซึ่งในบริเวณนี้มีทั้งโบสถ์ พระราชวัง แล museum นั่งพักขาอยู่นานกว่าจะเดินกลับไปยังในใจกลางเมืองอีกครั้ง เพื่อไปชมความงามของพระราชวังและโบสถ์ St. Johannis ในยามเย็น ก่อนเดินทางกลับไปยัง Frankfurt